จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ตอนไหน เจ้าของธุรกิจต้องรู้

จดภาษีมูลค่าเพิ่ม

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมคนทำธุรกิจส่วนใหญ่เลือก จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat)” ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจรายเล็กหรือใหญ่หรือแม้แต่ผู้ที่ทำงานอิสระทั่วไปที่มีรายได้ดี นั่นเพราะภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT เป็นภาษีที่ถูกเก็บจากการซื้อขายสินค้าหรือบริการในประเทศ รวมถึงการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศด้วย ซึ่งในปัจจุบันคนทำธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลบริษัท จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7อย่างไรก็ตามพบว่าผู้ประกอบการบางรายไม่ได้จดภาษีมูลค่าเพิ่มจึงมีคำถามตามมาว่าเมื่อไรควรจดภาษีมูลค่าเพิ่มจดแล้วดีอย่างไร หากไม่จดจะเกิดอะไรขึ้น เพื่อไขข้อสงสัยนี้คำตอบเหล่านี้ช่วยคุณให้หายแคลงใจเกี่ยวกับการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม

สารบัญ
    Add a header to begin generating the table of contents

    จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) เมื่อไรควรจด

    จากคำถามว่าเมื่อไรควรจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) คำตอบคือขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการเองว่าต้องการจะจดเมื่อไหร่ เพราะหากคุณทำธุรกิจรายเล็กที่ไม่ได้มีรายได้สูงจะไม่จดย่อมได้เนื่องจากไม่มีกฎหมายบังคับ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหม่ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจได้ไม่นานและยังไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคลด้วยว่ารายได้น้อยทั้งยังไม่ได้วางแผนขยายธุรกิจเป็นเพียงกิจการเล็ก ๆ ที่ทำเพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ อย่างไรก็ตามหากว่าคุณเป็นผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจมาได้สักระยะมีการวางแผนว่าจะขยายธุรกิจรวมถึงตั้งเป้าหมายในการสร้างรายได้สูงขึ้นในทุก ๆ ปี การจดภาษีมูลค่าเพิ่ม(จด vat) จะช่วยให้คุณวางใจได้ว่าแม้จะมีการเรียกตรวจสอบเกี่ยวกับรายได้ การเสียภาษีจากสรรพากรคุณก็ไม่ได้เข้าข่ายกระทำผิดกฎหมายเนื่องจากมีการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม(จด vat) แล้ว

    เมื่อพิจารณาแล้วว่าธุรกิจที่ดำเนินไปอยู่นั้น ปัจจุบันหรืออนาคตมีรายได้ 1.8 ล้านบาท

    ในเมื่อกฎหมายบังคับว่าหากธุรกิจที่มีรายได้ระหว่างปี 1.8 ล้านบาทจะต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ซึ่งไม่ได้นับรวมกับรายได้ในบางปีที่ไม่ได้ถึง 1.8 ล้านบาท ดังนั้นไม่ว่าธุรกิจที่ทำอยู่จะมีรายได้ระหว่างปี 1.8 ล้านบาทเพียงแค่ปีเดียวหรือกี่ปี ผู้ประกอบการจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ในปีที่รายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งนี้มีคำถามว่าสำหรับผู้ที่มีรายได้หลายทางไม่ว่าจะเป็นรายได้หลักหรือรายได้เสริมจะต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) หรือไม่ คำตอบคือจะต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ให้ถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามมีหลายธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นในการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat)  เช่น การให้บริการห้องสมุด การให้บริการรักษาพยาบาลของสถานราชการและเอกชน ธุรกิจค้าขายสัตว์ทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในประเทศ โดยคุณสามารถตรวจเช็คก่อนว่าธุรกิจที่ทำอยู่ได้รับการยกเว้นจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) หรือไม่ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร www.rd.go.th

    ในกรณีที่มีกิจการหลายสาขา ในการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) จะต้องนับรายได้รวมกันขึ้นอยู่กับว่าสาขาใดทำรายได้สูงสุดให้นับสาขานั้นเป็นยอดรายได้ที่จะนำไปจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat)

    ทั้งนี้หากรายได้เข้าเกณฑ์ที่จะต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) คือ 1.8 ล้านบาทแต่คุณไม่จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) เมื่อมีการตรวจสอบจากกรมสรรพากรถือว่ามีความผิดตามกฎหมายซึ่งจะต้องจ่ายเบี้ยปรับมากที่สุดถึง 2 เท่าของภาษีที่ชำระ ทั้งยังต้องเงินเพิ่ม 1.5 % ต่อเดือนต่อภาษีที่ต้องชำระ ด้วยสาเหตุนี้เองทำให้คนทำธุรกิจส่วนใหญ่ที่มีรายได้สูงจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ถือว่ามีความจำเป็นอย่างมากเพราะไม่อย่างนั้นคุณจะต้องจ่ายเบี้ยปรับและภาษีเพิ่มโดยใช่เหตุ

    จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) เมื่อต้องการรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษี

    เช็คสักนิดว่าธุรกิจของคุณมี VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นต้นทุนหรือไม่ กล่าวโดยง่ายคือคุณทำธุรกิจที่ซื้อมาขายไปหรือเป็นพ่อค้าคนกลาง เป็นธุรกิจที่มีสินค้าต้นทางที่มีการคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม หากเป็นเช่นนี้คุณจะต้องไป⇒จ้างผู้รับจดภาษีVATเพิ่มแล้วถึงออกใบกำกับภาษีขอกิจการ  เพื่อรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีเนื่องจากการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ช่วยลดต้นทุนในการทำธุรกิจได้มากทีเดียว นอกจากนั้นต้องพิจารณาด้วยว่าลูกค้าที่ใช้บริการธุรกิจคุณนั้นเป็นลูกค้าที่จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) หรือเปล่า หากลูกค้าจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) แม้ว่าธุรกิจของคุณที่ทำอยู่รายได้ไม่เข้าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดก็ควรจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือรวมถึงรักษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้กับลูกค้า สะท้อนวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจได้เป็นอย่างดี

    จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) เมื่อคุณมีความพร้อม

    สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจอาจยังไม่มั่นใจว่าจะเริ่มต้นจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) เมื่อไหร่ดีจึงจะเหมาะอันที่จริงแล้วคุณไม่จำเป็นต้องรอให้บริษัทมีรายได้ตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดจึงค่อยจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) เพราะหากคุณมีความพร้อมไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำธุรกิจ การเจรจาปรึกษากับหุ้นส่วนย่อมสามารถไปยื่นเอกสารเพื่อจดได้เลยเพราะการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) มีแต่ข้อดีไม่มีข้อเสีย โดยเฉพาะธุรกิจที่วางแผนและมีเป้าหมายในการขยายฐานธุรกิจให้เติบโต การจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) นอกจากจะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทแล้วยังช่วยแบ่งเบาเรื่องภาษีได้อีกด้วย

    แม้แต่ธุรกิจ SME หรือ Small and Medium Enterprises หรือธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม แม้ผลประกอบการเมื่อแรกเริ่มธุรกิจจะยังไม่มากนัก การจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ยังถือว่ามีความสำคัญและจำเป็นเพื่อให้ผู้ประกอบการวางใจได้ว่าวันหนึ่งหากมีรายได้มากเข้าเกณฑ์ว่าต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ย่อมสบายใจได้มากกว่าไม่จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ดีกว่าต้องมาวุ่นวายหากมีการตรวจสอบจากสรรพากร จนเข้าสุภาษิตว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่ายจากการต้องจ่ายค่าปรับที่เป็นเงินจำนวนมาก

    จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ต้องทำอย่างไร

    ผู้ที่เช็คลิสต์ว่าพร้อมไปจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) หรือยัง มีคำแนะนำเกี่ยวกับการจด VAT มาให้คุณได้พิจารณาว่าทำอย่างไรและแบบใดเหมาะกับธุรกิจที่ทำอยู่ สำหรับผู้ที่สามารถไปจด VAT ได้คือบุคคลธรรมดาที่เป็นเจ้าของกิจการคนเดียว รวมถึงนิติบุคคลที่จดทะเบียนบริษัทจำกัดหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด สามารถยื่นขอจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat)  ได้โดยมี 2 ช่องทางให้เลือกคือยื่นแบบขอผ่านทางเว็บไซต์ของกรมสรรพากร หรือยื่นแบบคำขอด้วยกระดาษ ณ หน่วยจดทะเบียนที่ตั้งสถานประกอบการ  เป็นขั้นตอนง่าย ๆ ที่ใช้เวลาไม่นานคุณก็จะเป็นเจ้าของธุรกิจที่ได้จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) อย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว

    คำถามยอดฮิตอีกข้อ 1 เกี่ยวกับการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) คือหากมีรายได้เสริมที่มาจากธุรกิจกับรายได้จากเงินเดือนต้องนำมาคิดรวมกันหรือไม่ กรณีนี้คุณไม่ต้องนำเงินเดือนจากงานประจำมารวมด้วยแต่จะต้องนำรายได้อื่น ๆ ทั้งหมดมาคิดรวมกันหากเข้าเกณฑ์จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ต้องรีบยื่นเอกสารขอจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ให้เร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะต้องเสียค่าปรับ นอกจากนี้ในกรณีดังกล่าวจะเห็นว่าการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการเท่านั้นที่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) แต่บุคคลธรรมดาเองก็ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) เช่นกันหากมีรายได้ระหว่างปีสูงถึง 1.8 ล้านบาท ดังนั้นอย่าชะล่าใจและเข้าใจผิดว่าตนเองทำงานฟรีแลนซ์แล้วไม่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ทางที่ดีคือรีบตรวจสอบรายได้ก่อนไปจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ดีกว่า

    อย่างไรก็ตามมีคำถามว่าสำหรับผู้ประกอบการที่ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์เองทำอย่างไร การจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ทำได้โดยง่ายคือใช้เอกสารสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของเจ้าของกรรมสิทธิ์ 1 ฉบับ หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่ สัญญาเช่าอย่างละ 1 ฉบับ

    เมื่อจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) แล้วสิ่งที่ต้องทำคือยื่นรายงานภาษีซื้อภาษีขายทุกเดือนโดยไม่ให้ขาดแม้ว่าเดือนนั้นจะไม่มีการซื้อขายเพื่อเป็นข้อมูลที่สามารถตรวจสอบถามได้

    จากข้อมูลข้างต้นนี้นอกจากจะช่วยตอบคำถามว่าเมื่อไรที่ควรจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ยังอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) มีความสำคัญและจำเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการไม่ว่ารายเล็กรายใหญ่เพื่อความน่าเชื่อถือขององค์กรรวมถึงเพื่อทำตามกฎหมายจึงต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) เมื่อตรวจสอบแล้วว่ากิจการหรือธุรกิจบริการของคุณสามารถทำรายได้ระหว่างปี 1.8 ล้านบาท เมื่อทราบแล้วหากยังไม่จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ขอแนะนำให้คุณรีบตรวจเช็กรายได้ประจำปีอีกครั้งก่อนที่จะมีการเรียกตรวจสอบรายได้จากสรรพากรและพบว่าคุณไม่ได้จดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) จะได้ไม่คุ้มเสีย

    บทสรุป

    ส่วนเจ้าของธุรกิจใดที่ยังไม่มั่นใจว่าการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) นั้นคุ้มค่าหรือไม่ ลองคิดแบบนี้ว่าการทำธุรกิจย่อมต้องการให้เกิดการเติมโตและสร้างรายได้สูงทะลุเป้าหมาย รวมไปถึงเติบโตจนสามารถขยายสาขาหรือสร้างรายได้จำนวนมาก ดังนั้นเมื่อทำธุรกิจแล้วหากไม่เหนือบ่ากว่าแรงไม่ต้องรอให้มีรายได้เข้าเกณฑ์จดภาษีไปยื่นจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) ไว้ดีกว่าเพื่อรองรับการเติมโตของธุรกิจในอนาคต เมื่อนั้นจะได้นำไปแจ้งกับลูกค้าผู้ใช้บริการว่าธุรกิจหรือกิจการของคุณได้มีการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (จด vat) เรียบร้อยแล้ว เชื่อมั่นได้ในคุณภาพและความเชื่อถือของธุรกิจคุณอย่างไม่มีข้อกังขา📌Station Accout – เรารับจดทะเบียนบริษัทดีที่สุด™

    สำนักงานบัญชีคุณภาพ