เอกสาร PR และ PO ต่างกันยังไงน้า

เอกสาร PR และ PO ต่างกันยังไงน้า

มีใครที่ทำงานเกี่ยวกับการจัดซื้อสิ่งต่าง ๆ ภายในบริษัทไหม ? เชื่อว่าคนที่ทำงานเกี่ยวกับด้านนี้จะคุ้นเคยกับเอกสารที่เรียกว่า PR และ PO เป็นอย่างไร เป็นอีก 2 เอกสารทางธุรกิจที่นับว่าสำคัญมาก ๆ อย่างหนึ่ง และในแทบทุกองค์กรจะต้องใช้ สำหรับใครที่เริ่มก้าวเข้ามาในวงการของการทำธุรกิจชวนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอกสารทั้ง 2 อย่างนี้ก่อนจะได้ใช้งานอย่างถูกหลัก ทำความเข้าใจความแตกต่างของเอกสาร PR และ PO ได้อย่างง่าย มาติดตามพร้อมกันได้เลย

สารบัญ
    Add a header to begin generating the table of contents

    ความแตกต่างของเอกสาร PR และ PO คืออะไร

    เข้าใจง่าย ๆ ก่อนจะลงรายละเอียดของเอกสารทั้ง 2 ประเภทว่าใช้งานแตกต่างกันอย่างคือ ทั้งคู่เลยเรามักจะใช้เมื่อมีการทำการจัดซื้อ เริ่มจากการใช้ใบ PR แล้วก็ใช้ตัวใบ PO สำหรับการยืนยันและควบคุมตัวสินค้าหรือบริการที่ทำการซื้อนั้น ๆ นั่นเอง เอาล่ะมาดูรายละเอียดกันว่าแต่ละใบเป็นอย่างไร

    • เอกสารใบ PR ภาษาไทยคือ “ใบขอซื้อ” ชื่อเรียกเต็ม ๆ ในภาษาอังกฤษก็คือ Purchase Requistion หรือเรียกสั้น ๆ ว่าใบ PR ซึ่งเราก็มักจะใช้ทั้งใบ PR และ PO มันจะคู่กันเสมอ สำหรับตัวเอกสาร PR นี้ จะใช้ทุกครั้งเมื่อบริษัทจะมีการจัดซื้อสินค้าหรือบริการอะไรก็ตาม ในแต่ละแผนกของบริษัทจะต้องมีสิ่งที่ต้องใช้ ฝ่ายจัดซื้อก็ต้องจัดการ แล้วคนที่จะอนุมัติใบ PR นี้คือผู้มีอำนาจในแผนก พอทุกคนอนุมัติแล้วก็ต่อไปเป็นหน้าที่ของใบ PO ตามลำดับเลย รายละเอียดใบ PR จะมีข้อมูลเหล่านี้
    1. ระบุแผนกที่ทำการขอซื้อ
    2. วันที่ ที่ขอซื้อ
    3. เหตุผล ซื้อเพราะอะไร
    4. รายละเอียดของสิ่งที่จะซื้อไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการก็ตาม
    5. จำนวนเท่าไหร่
    6. ราคาเท่าไหร่
    7. ใครเป็นคนออกใบ PR หรือคนที่ขอซื้อสินค้า
    8. สุดท้ายคือคนอนุมัติ

    มองในมุมทั่วไปเลยคือใบ PR และ PO ก็เหมือนกับว่าเวลาที่จะทำอะไรก็ตามที่มันเกี่ยวข้องกับการใช้เงินบริษัท มันจะต้องมีหลักฐานยืนยันเสมอ ใคร ซื้ออะไร จำนวนเท่าไหร่ ซื้อให้ใคร ราคาเท่าไหร่ เวลาเกิดปัญหาหรือถูกตรวจสอบขึ้นมาเอกสารใบ PR จะตอบให้เราเอง

    • เอกสารใบ PO ตัวนี้จะเรียกว่า “ใบสั่งซื้อ” จำได้ไหมตอนแรกใบ PR เป็นใบสำหรับการยื่นขอซื้อ เหมือนการขออนุญาต แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มีการออกใบ PO แปลว่า รายการต่าง ๆ ที่กล่าวมาบนใบ PR ได้รับการยืนยันอนุมัติให้ซื้อแล้วนั่นเอง ใบ PO หรือ Purchase Order คนที่ออกก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายจัดซื้อของแต่ละองค์กรเลย ซึ่งเราจะข้ามขั้นมาหาใบ PO เลยไม่ได้ ต้องผ่านการออกใบ PR เสียก่อนนะ มันถึงต้องมีทั้งใบ PR และ PO เวลาที่จะทำการซื้ออะไรสักอย่างให้แต่ละแผนก ในบางที่มีการกำหนดด้วยว่าเวลาจะจัดซื้ออะไรต้องไม่เกินงบที่กำหนดไว้ด้วย ถ้ามันเกินกว่านั้นถึงจะต้องมีคนอนุมัติ ส่วนรายละเอียดในใบ PO จะต้องมีข้อมีเหล่านี้
    1. รายละเอียดชื่อ ที่ เลขประจำตัวของผู้เสียภาษีที่เป็นของบริษัท
    2. รวมถึงชื่อ ที่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการด้วย
    3. ระบุวันที่ที่ทำการซื้อ
    4. สินค้าหรือบริการที่ซื้อคืออะไร ระบุรายละเอียดให้ชัดเจน
    5. มีจำนวนเท่าไหร่ ราคาเท่าไหร่ รวมทั้งหมดเท่าไหร่
    6. ใครเป็นคนจัดทำ
    7. สุดท้ายใครเป็นคนอนุมัติ

    สำหรับใบ PO เอาไว้เป็นเอกสารยืนยันใบ PR อีกทีนั่นเอง ไม่ว่าจะบริษัทไหนก็จะต้องใช้ทั้งใบ PR และ PO แม้ว่าหน้าที่ของทั้งสองเอกสารจะต่างกัน แต่ว่าก็ต้องใช้ทำงานร่วมกันอยู่ดีนะ จะขาดใบไหนใบหนึ่งไปไม่ได้เลย

    ความแตกต่างแบบเห็นได้ชัดเจนของใบ PR และ PO คืออะไร

    • ผู้ออกเอกสาร ใบ PR จะเป็นแผนกหรือคนใดคนหนึ่งในบริษัทเลย ส่วนใบ PO จะต้องออกจากแผนกจัดซื้อของบริษัทเท่านั้น
    • วัตถุประสงค์ของการซื้อ ใบ PR จะทำเพื่อบอกว่าเราต้องการจะซื้ออะไร ความจำเป็นในการซื้อมีแค่ไหน ส่วนใบ PO นั้น เป็นการยืนยันให้ซื้อเลย ว่าซื้อได้
    • การอนุมัติเอกสารใบ PR และ PO ในส่วนของใบ PR คนอนุมัติเป็นหัวหน้าแผนก ส่วนใบ PO คนอนุมัติจะเป็นผู้จัดการแผนกจัดซื้อหรือกรรมการของบริษัทเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อเป็นการสั่งซื้ออะไรที่มูลค่าสูงมาก
    • การจัดส่ง ใบ PR จะส่งไปยังแผนกจัดซื้อ ส่วนใบ PO จะถูกส่งไปยังซัพพายเออหรือผู้ขายนั่นเอง

    จะเรียกว่ามันเป็นวงจรการซื้อก็ได้ และเมื่อมีใบ PR และ PO ก็จะกลายเป็นวงจรการซื้อที่ดี ที่ถูกต้องตามขั้นตอน ซึ่งมันจะเริ่มจากจุดที่มีกระบวนการขอซื้อและสั่งซื้อ ส่งต่อไปยังกระบวนการรับของ ต่อไปก็เป็นกระบวนการในการบันทึกบัญชีของบริษัทและจบด้วยการชำระเงิน ตามนี้เลยทุกอย่างมันมีลำดับขั้นตอนการใช้อยู่แล้ว

    กระบวนการใช้ใบ PR และ PO ในการขอซื้อและสั่งซื้อสินค้า

    ตรงส่วนนี้ให้คุณค่อย ๆ อ่านและคิดมองภาพตามไปด้วยถึงจะเข้าใจและมองภาพออกถึงการทำงานของใบ PR และ PO มันจะเริ่มจากแผนกคลังสินค้าก่อน เริ่มจากการออกใบขอซื้อ (PR) ส่งเอกสารที่มีรายละเอียดสินค้าที่ต้องการซื้อครบแล้วไปยังผู้มีอำนาจทำการตรวจสอบและเซ็นรับรองอนุมัติ แล้วใบ PR ก็ผ่านการอนุมัติแล้ว ก็จะเป็นหน้าที่ของทาง แผนกจัดซื้อที่จะต้องออกใบ PO แต่เราจะใช้ใบขอซื้อส่งไปยังซัฟพายเออร์ แล้วก็จะได้เป็นใบเสนอราคามา บริษัทก็เริ่มเปรียบเทียบราคาแต่ละที่ แล้วเราก็จะได้ส่งใบขอซื้อต่อ ขั้นตอนต่อไปก็จะต้องให้ผู้จัดซื้อตรวจสอบรายละเอียดความถูกต้องของเอกสารและเซ็นอนุมัติ ขั้นต่อไปก็ส่งใบขอซื้อ ใบเสนอราคา แล้วก็จะได้ใบ PO หรือใบสั่งซื้อ ไปยังซัพพายเออร์อีกรอบเพื่อยืนยันการสั่งซื้อ เป็นอันจบกระบวนการ

    เอกสารใบ PR และ PO มีประโยชน์ต่อองค์กรหรือไม่

    ลองคิดภาพตามว่าหากบริษัทไหนไม่มีการใช้ใบ PR และ PO เลย แล้วการจัดซื้อสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นจะต้องใช้ในบริษัทมันจะออกมาวุ่นวายขนาด บางทีก็ร้ายแรงส่งผลกระทบทำให้บริษัทไปไม่รอดเลยยังเป็นไปได้ เพราะเอกสารทั้ง 2 ใบนี้ เป็นเหมือนหลักฐานการใช้จ่ายงบประมาณในการจัดซื้อว่าจ่ายไปกับค่าอะไรไปบ้าง และไม่ใช่จะซื้ออะไรก็ซื้อได้ ต้องมีคนที่มีอำนาจอนุมัติก่อน โดยเฉพาะบริษัทไหนที่มีพนักงานเยอะ มีหลายตำแหน่ง หลายแผนกการใช้เอกสาร PR และ PO จะง่ายต่อการควบคุมงบด้วย จะได้ไม่เกินเลยจนเกินไป

    หากมองว่าเอกสารนี้ไม่สำคัญแล้วเวลาจะซื้ออะไรเข้ามาใช้ที่เป็นของบริษัทคุณจะจัดซื้อยังไง จะมีการบันทึกรายการใช้จ่ายนี้แบบไหน นั่นจึงเป็นอีกหนึ่งประโยชน์ที่เห็นได้ชัดของการใช้เอกสาร PR และ PO เป็นการทำให้ทุกอย่างในองค์กรมีระบบรวมถึงผู้คนด้วยก็รู้จักการใช้ระบบ ทำงานอย่างเป็นระบบ แสดงถึงความน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่งเลย เพราะว่าบริษัทบริหารคนได้ดี บริหารงบได้ดีแน่ ๆ แม้จะไม่ใช่ตัววันทุกอย่างในบริษัทก็ตาม แต่การทำทุกอย่างถูกต้องตามกระบวนการเสมอก็เป็นสิ่งที่ควรจะต้องทำ แม้กระทั่งการซื้อของชิ้นเล็ก ๆ แต่ถ้าซื้อเข้าองค์กรก็ต้องทำเรื่องการขอซื้อ การสั่งซื้ออยู่ดี

    บทสรุป

    เอกสาร PR และ PO เป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทจะต้องมี ใบ PR จะเป็นใบขอสั่งซื้อซึ่งจะต้องบอกรายละเอียดก่อนว่าจะซื้ออะไรเข้าแผนกไหน จากนั้นค่อยหาใบเสนอราคาแต่ละที่มาเปรียบเทียบ พอเลือกได้แล้วว่าต้องการจะซื้อสินค้าหรือบริการของบริษัทไหนก็จะต้องใช้ใบ PO ที่ได้รับการเซ็นอนุมัติแล้วส่งไปยังบริษัทซัพพายเออร์นั้นได้เลย เป็นกระบวนการในการจัดซื้อที่มีการใช้เอกสารใบ PR และ PO อย่างถูกต้อง ไม่จำเป็นจะต้องเป็นบริษัทใหญ่เสมอไปที่จะใช้เอกสารใบขอซื้อ ใบสั่งซื้อแบบนี้ จะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลางก็ใช้ได้เหมือนกัน เพราะจะทำให้ระบบภายในองค์กรเองก็มีระบบมากขึ้น เราจะใช้เงินบริษัทมาจ่ายอะไรตามใจเหมือนเงินส่วนตัวไม่ได้ ใครที่กำลังทำบริษัทอยู่อย่าลืมสนใจการทำและการใช้งานเอกสารทั้งสองแบบนี้ให้ดี📌Station Accout – เรารับทำบัญชีมาตรฐานสูงสุด™

    สำนักงานบัญชีคุณภาพ